
Dr. Stone หรือ ดอกเตอร์สโตน ซีซัน 4 พาร์ต 2 เริ่มต้นจากมังงะชื่อเดียวกันที่เขียนและตีพิมพ์ครั้งแรกลงนิตยสาร และกลายเป็นหนึ่งในมังงะแนววิทยาศาสตร์-ผจญภัยที่โดดเด่นที่สุดแห่งยุค ด้วยเนื้อหาที่ผสมผสานระหว่างความรู้ทางวิทยาศาสตร์และการเอาตัวรอดในโลกหลังหายนะอย่างลงตัว
Dr. Stone: Science Future (ภาค 4) ถือเป็นภาคต่อที่ปูทางเข้าสู่บทสรุปของเรื่องราว โดย Part 1 ได้ออกฉายในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 และได้รับเสียงตอบรับในเชิงบวกทั้งจากแฟนเก่าและผู้ชมใหม่ ด้วยการนำเสนอแนวคิด “อนาคตของมนุษย์ชาติ” ผ่านความรู้และความหวังที่ไม่สิ้นสุด
หลังจากความสำเร็จของ Part 1 ทางสตูดิโอ TMS Entertainment จึงได้ประกาศสร้างภาคต่อ Dr. Stone: Science Future Part 2 ซึ่งถือเป็นบทสุดท้ายของซีซั่นนี้ โดยมีกำหนดฉายในฤดูร้อนปี 2025
การประกาศสร้าง & ทีมงานผู้ผลิต
Science Future (ภาค 4) Part 2 ได้มีการสร้างทันทีหลังจากการออกฉายของ Part 1 หรือช่วงแรกจนจบ โดยได้สตูดิโอผู้ผลิต: TMS Entertainment จากช่วงแรกเช่นเดิม
วันที่ฉายครั้งแรก
Part 2 ได้เริ่มฉายตั้งแต่ 10 กรกฎาคม 2025 ในญี่ปุ่น
โดยมีการคาดการณ์ว่า Part 2 จะมีทั้งหมด 12 ตอน
การตอบรับจากผู้ชม
บนแพลตฟอร์มข่าวเกม-อนิเมะ เช่น GamesRadar ระบุว่า Part 2 ถูกคาดหวังสูงมาก และมีกำหนดฉายในวันที่ 10 ก.ค. 2025 พร้อมให้ชมแล้ว
ในภาคนี้ การเดินทางของ เซ็งคู อิชิงามิ และพันธมิตรกลุ่มวิทยาศาสตร์ของเขายังคงดำเนินไปหลังจากจบภาคแรกของซีซั่นสุดท้าย เมื่อทีมงานสำรวจของพวกเขาได้เร่งเดินทางจากอเมริกาเหนือเข้าสู่ภูมิภาคลึกของอเมซอนในทวีปอเมริกาใต้ เพื่อ “ตามหาต้นกำเนิดของลำแสง petrification” ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญในการไขความลับที่อาจเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของมนุษยชาติ
ท่ามกลางการผจญภัยในป่าอันเขียวขจี พวกเขาได้เผชิญหน้ากับศัตรูเก่าและใหม่ รวมถึงพันธมิตรที่ไม่คาดฝัน ซึ่งมาพร้อมแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ที่แข็งแกร่งและแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยทุกการพบปะและความขัดแย้งล้วนผลักดันให้เกิดวิวัฒนาการทางนวัตกรรมที่รวดเร็วขึ้น ทั้งในเรื่องเทคโนโลยีการสื่อสาร การเดินเรือ และโครงสร้างพื้นฐาน
สิ่งที่น่าตื่นเต้นคือเซ็งคูและ Xeno เริ่มร่วมมือกัน โดยใช้การคำนวณทางวิทยาศาสตร์เพื่อตีแผ่ต้นทางของลำแสงปริศนา ซึ่งสร้างความประทับใจแก่ Chrome และกลุ่มผู้ติดตามด้วยภาพที่แสน “elegant” ของการประยุกต์ใช้ความรู้จริงในสถานการณ์จริง
ภาคนี้ไม่เพียงแต่เป็นการผจญภัยเพื่อไขปริศนาเท่านั้น แต่ยังเป็นการสำรวจเส้นแบ่งระหว่าง “การใช้วิทยาศาสตร์เพื่อยกระดับมนุษยชาติ” กับ “การใช้มันเป็นเครื่องมือควบคุมและอำนาจ” ทีมของเซ็งคูต้องตัดสินใจว่าจะเดินทางด้วยความร่วมมือหรืออยู่ในสภาวะเตรียมพร้อมเพื่อปะทะ ซึ่งสร้างความตื่นเต้นและดราม่าทางความคิดในทุกก้าวของเรื่อง
เซ็งคู อิชิงามิ (Senku Ishigami)
อัจฉริยะด้านวิทยาศาสตร์ ผู้มีแรงผลักดันจากความเชื่อในพลังของเหตุผลและความรู้ เซ็งคูยังคงนำทีม “ราชอาณาจักรวิทยาศาสตร์” ไปข้างหน้าในการสำรวจหาต้นตอของลำแสง petrification โดยใช้ทักษะด้านฟิสิกส์ เคมี และวิศวกรรม เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับการฟื้นฟูอารยธรรมอย่างไร้ที่ติ
ดร. Xeno Houston Wingfield (Xeno)
อดีตนักวิทยาศาสตร์ NASA ผู้กลายเป็นคู่แข่งทางความคิดและเป็นพันธมิตรของเซ็งคูภาคแย้งจากสหรัฐอเมริกา Xeno มีทักษะรอบด้านไม่แพ้เซ็งคู ทั้งฟิสิกส์ดาราศาสตร์และวิทยาศาสตร์อวกาศ โดยมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกันมาตั้งแต่ผ่านอินเทอร์เน็ต
โครม (Chrome)
เด็กหนุ่มจากหมู่บ้านอิชิงามิ ที่พัฒนาตัวเองจนกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์มาดกายภาพ โดยมีจิตใจใฝ่รู้ตั้งแต่แรกพบโครงสร้างทางวิทยาศาสตร์ Chrome ได้รับแรงบันดาลใจจากเซ็งคู และยังคงเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาเครื่องมือภาคสนามอีกหลายชิ้น
สแตนลีย์ สไนเดอร์ (Stanley Snyder)
อดีตทหารรับจ้างและผู้บังคับบัญชาของกลุ่มดร. Xeno สแตนลีย์มีความชำนาญด้านยุทธศาสตร์เชิงทหารและเทคโนโลยีอาวุธ การปรากฏตัวของเขาเพิ่มมิติแห่งความขัดแย้งให้กับเรื่อง แต่ก็เป็นตัวแทนของปัญหาทางความคิดที่ตัวละครหลักต้องเผชิญหน้าพร้อมกับวิธีแก้ต่าง ๆ
โคฮาคุ (Kohaku)
นักรบมือหนึ่งจากหมู่บ้านอิชิงามิ ผู้เป็นตัวแทนของด้านกายภาพและผู้ปกป้องทีมนักวิทยาศาสตร์ โคฮาคุออกสู่ภารกิจนอกอาณาจักรเพื่อคุ้มครองการสำรวจของเซ็งคูและ Xeno ต่อสู้ร่วมกับศัตรูใหม่ ๆ ด้วยความกล้าหาญและความแข็งแกร่งเฉพาะตัว
Dr. Stone: Science Future Part 2 คือบทสรุปที่ยิ่งใหญ่ของการเดินทางอันยาวนานของเซ็งคูและพวกพ้อง ที่ไม่เพียงแต่สะท้อนพลังของวิทยาศาสตร์และความรู้ แต่ยังสื่อถึงความเชื่อมั่นในมนุษยชาติ การฟื้นฟูโลกหลังหายนะด้วยสองมือเปล่าและจิตวิญญาณแห่งการเรียนรู้ทำให้เรื่องนี้แตกต่างจากอนิเมะแนวอื่นอย่างชัดเจน
ด้วยงานโปรดักชันที่ยอดเยี่ยมจากสตูดิโอ TMS Entertainment การเล่าเรื่องที่ลึกซึ้ง และตัวละครที่มีพัฒนาการชัดเจน Science Future Part 2 ไม่เพียงเป็นบทสรุปของซีรีส์ แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ชมทุกวัยให้เชื่อในพลังของ “การไม่ยอมแพ้” และ “การคิดอย่างมีเหตุผล”